ต่อมาโมเสสและอาโรนไปเฝ้าพระเจ้าฟาโรห์ทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้จงปล่อยประชากรของเราไปจัดงานเลี้ยงฉลองเป็นเกียรติแก่เราในถิ่นทุรกันดาร” พระเจ้าฟาโรห์ตรัสว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นใครเล่าเราจึงต้องเช่ือฟังและปล่อยชาวอิสราเอลไป เราไม่รู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าและจะไม่ปล่อยอิสราเอล เราจะให้พวกเขาทำงานหนักกว่าเดิม เพื่อเขาจะได้ทำงานแทนท่ีจะไปคอยฟังคำหลอกลวง”
ชาวอิสราเอลคร่ำครวญถึงภาระอันหนักท่ีเขาต้องแบกรับในครั้งนั้น โมเสสได้กลับไปหาพระเจ้าและพระองค์ไ้ดสัญญากับเขาว่า “เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เรา ได้สำแดงตนแก่อับราฮัม อิสอัค และยาโคบว่า เราคือพระผู้ทรงสรรพานุภาพ ”เอล ชัด ดาย (พระผู้ทรงสรรพานุภาพ)” แต่เราไม่ได้ให้เขารู้จัก ว่านามของเราคือองค์พระผู้เจ้าเป็นเจ้า เราจะนำเจ้า ออกจากอียิปต์ เราจะรับเจ้าเป็นประชากรของเรา เจ้าจงจำไว้เสมอว่าเราเป็นพระเจ้า ของเจ้า เราจะนำพวกเจ้าเข้าไปในแผ่นดินซึ่งเราได้สัญญาไว้ว่าเราจะให้แก่อับราฮัม แก่อิสอัคและแก่ยาโคบเรายกแผ่นดินนั้นให้แก่เจ้าในฐานะท่ีเป็นผู้สืบทอด”
พระเจ้าทำให้พระเจ้าฟาโรห์ได้รู้ถึงอำนาจของพระองค์ โดยให้เกิดภัยพิบัติ 9 ประการ คือ น้ำกลายเป็นเลือด ฝูงกบ ฝูงยุง ฝูงเหลือบ ฝูง สัตว์ของชาวอียิปต์ล้มตาย ฝีร้าย ลูกเห็บ ฝูงตั๊กแตน ความมืดสามวัน พระเจ้าฟาโรห์ทราบดีถึงสาเหตของความวิบัติครั้งนี้ เป็นเวลาสองถึงสามครั้งพระองค์แกล้งทำเป็นว่าพระองค์จะปลอ่ยให้ชาวอิสราเอลเป็นอิสระจากการเป็นทาส แต่เมื่อโรคระบาดสงบลงพระองค์ก็ผิดคำสัญญาอีก
(อพย 5-11)